READ AND LEAD TO 2021
เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา กลายเป็นปีที่ฉีกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของมนุษยชาติ หลากหลายวิกฤตการณ์กระหน่ำฟาดอย่างไม่มีผ่อนแรง ทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ อุบัติภัย อาชญากรรม สิ่งแวดล้อม และการเมือง แต่ใช่ว่ามนุษย์จะยอมจำนนต่อการกดขี่ของวิกฤตการณ์เหล่านั้น
วิกฤติที่ถาโถมปลุกให้เราตื่นขึ้นมาจากวิถีชีวิตเดิมเพื่อค้นคว้าคำตอบและหนทางแก้ปัญหาต่อสิ่งใหม่ที่ไม่เคยพบ และยังมีการตื่นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การรื้อค้นและตั้งคำถามต่อสิ่งดั่งเดิมที่ฝังรากลึกยาวนาน เมื่อสิ่งต่างๆ เขย่าปลุกผู้คนให้ตื่นจนไม่อาจจะหวนกลับไปสู่จุดเดิมได้อีก คำถามก็คือ จากนี้ เราจะเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์และดำเนินชีวิตกันต่อไปอย่างไร
พบกับหนังสือน่าอ่านรับมือปี 2021 ที่จะพาทุกคน ‘ตื่น’ ด้วยการอ่าน เพื่อรู้ อยู่ และสู้ แนะนำโดยผู้มีชื่อเสียงจากหลายวงการ 8 ท่าน คือ คำ ผกา, รัศม์ ชาลีจันทร์, งามพรรณ เวชชาชีวะ, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์, ประจักษ์ ก้องกีรติ, อารยา ราษฎร์จำเริญสุข และ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์
1
รักสามัญ: บันทึกความผูกพันชั้นราษฎร
ผู้เขียน รสมาลิน ตั้งนพคุณ
สำนักพิมพ์ อ่าน
แนะนำโดย คำ ผกา
พิธีกร นักเขียน นักแปล คอลัมนิสต์
มันยากมากที่จะเชื่อว่าป้าอุ๊ไม่ใช่นักเขียน
‘ป้าอุ๊’ เป็นใคร?
ป้าอุ๊มีชื่อจริงว่า รสมาลิน เป็นภรรยาของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘อากง’ ทั้งสองเป็นสามัญสามี-ภรรยาคู่หนึ่ง ทำมาหากินเป็นชนชั้นกลางบนเส้นขอบที่สามารถหล่นลงไปข้างล่างๆ นั้นได้ทุกเมื่อ และคงเป็นสามัญครอบครัวหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่อยากและไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จัก ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาฯ ส่วนตัวของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าแจ้งความว่าอากงส่งข้อความหาเขา 4 ข้อความซึ่งผิดกฎหมายมาตรา 112 ทำให้สามัญชนผู้นี้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรง และลงเอยด้วยการเสียชีวิตในคุก
ฉันจะไม่พูดถึงรายละเอียด ‘คดีอากง’ ในที่นี้ เพราะเรากำลังจะพูดถึงหนังสือของป้าอุ๊
รักสามัญ มีชื่อรองว่า บันทึกความผูกพันชั้นราษฎร ฉันอยากจะเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งชื่อ คือ ‘หลายชีวิตชั้นสามัญราษฎร’ หนังสือเล่าถึงผู้คนในชีวิตป้าอุ๊ หลายสามัญชะตาชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ เลือกไม่เกิดก็ไม่ได้ และจากโลกนี้ไปอย่างเงียบเท่าที่จะเงียบได้ ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการเขียนไว้ในคำนำว่า “นี่มิใช่เป็นงานทดลองจากความเหลือเฟือทางรสนิยม หากคือความอัตคัดจนไม่ทิ้งพื้นที่ว่างบนหน้ากระดาษให้สูญเปล่า”
“ฉันเคยมีความรู้สึกว่าปีใหม่เมื่อไหร่ก็อยากจะโยนปีเก่าออกนอกหน้าต่าง และรีบให้ปีใหม่เข้ามาทางประตูหน้าทุกปี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ จะผ่านไปกี่ปี ฉันก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ก็ปีใหม่เมื่อใด ฉันก็เก่าไปพร้อมกันทุกปี ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่ความฝันของฉัน มีแต่ความทรงจำที่ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น”
อ่านถึงบรรทัดนี้ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าป้าอุ๊ไม่ใช่นักเขียน
“ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกเหนื่อยจัง ฉันไม่ได้กลัวตายเลย แต่ทำไมฉันวนเวียนคิด ติดตาคาใจจนบัดนี้ไม่คงที่เลย...เย็นนี้รู้สึกดีกว่าเมื่อวานหน่อย เหมือนสติที่ล้มจะตั้งขึ้นมาได้บ้างแล้ว จะเริ่มระบายในหนังสือแล้ว”
อ่านถึงตอนนี้ ฉันเชื่อแล้วว่าป้าอุ๊ไม่ใช่นักเขียน เพราะลำพังการเป็น ‘นักเขียน’ คงเขียนอะไรแบบนี้ไม่ได้
ฉันจะไม่เขียนอะไรมาก นอกจากบอกว่านี่เป็นหนังสือที่ฉันอยากแนะนำให้อ่าน อ่านเพื่อเข้าไปนั่งในความทรงจำของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จนวันนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอ กับสามี และครอบครัวของเธอนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร อ่านเพื่อสัมผัสความอำมหิตที่ไม่เคยปรากฏรูปรอยให้จับจนได้ไล่จนทัน ทว่าไล่ล่าสามัญชนคนหนึ่ง ครอบครัวหนึ่ง จนล้มทั้งยืนและตื่นมาในโลกอีกใบที่แปลกไปแล้วโดยสิ้นเชิง
มันช่างทารุณสำหรับคนสามัญที่ไม่ปรารถนาอะไร นอกจากการไม่เป็นที่รู้จักของใคร และหวังเพียงสามารถถนอมรักระหว่างคนชั้นสามัญด้วยกันเอาไว้เท่านั้น
2
LESS
ผู้เขียน Andrew Sean Greer
สำนักพิมพ์ Lee Boudreaux Books
(ฉบับแปลภาษาไทย: เลส ผู้แปล ศรรวริศา สำนักพิมพ์ กำมะหยี่)
แนะนำโดย รัศม์ ชาลีจันทร์
อดีตเอกอัครราชทูต เจ้าของเพจ ‘ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador’
ชีวิตและความรักอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เสมอไป
คนเรามักจะคิดว่านิยายที่เกี่ยวกับความรักต้องมีพล็อต มีฉากหลังยิ่งใหญ่ มีเรื่องเศร้าโศกสลดใจให้เสียน้ำตาอย่าง Romeo and Juliet หรือ Gone with the Wind หรือแม้แต่หนังสือที่จะได้รางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize) ก็ควรจะเป็นหนังสือหนาๆ เรื่องยาวๆ กินเวลาหลายชั่วอายุคน
แต่ Less หนังสือที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ ปี 2018 เป็นหนังสือเล่มบางๆ เล่าเรื่องราวของนักเขียนเกย์วัยกลางคนซึ่งมีความสำเร็จระดับปานกลาง ชื่อว่า Arthur Less ออกเดินทางไปท่องโลกเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะได้ไม่ต้องไปร่วมการงานแต่งงานของอดีตแฟนหนุ่มกับชายคนรักใหม่
หากพินิจพล็อตเรื่องเผินๆ ก็อาจดูเหมือนกับเป็นเรื่องราวการเดินทางเพื่อค้นพบตนเองทั่วไป แต่การเล่าเรื่องของ Greer หรือผู้เขียนที่ให้เรื่องราวแต่ละบทเกิดขึ้นและจบลงในหนึ่งประเทศ สร้างความน่าติดตามในแต่ละตอน ซึ่งในฐานะผู้อ่าน เราสนุกและตื่นเต้นที่จะรีบอ่านให้จบบทเพื่อจะได้รู้ว่าพอจบจากประเทศนี้แล้ว ตัวตนของ Arthur จะเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร
Arthur เป็นตัวละครที่มีบุคลิกนุ่มๆ เนิบๆ ออกจะขี้กลัวในบางที แต่เขาก็ยังมี Self-awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง) พอที่จะเข้าใจโลกและตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ Self-depreciating jokes (การเล่นมุกตลกเชิงล้อเลียนตัวเอง) หลายมุกในหลากประเด็น รวมถึงประเด็น LGBT+ ซึ่งผมชื่นชมในความสามารถของ Greer ที่สามารถเขียนเล่าเรื่องราวการผจญภัยให้ยังคงมีความธรรมดา และ Normalize ความเป็นเพศทางเลือกให้เป็นเรื่องปกติได้ ทำให้ผู้อ่านไม่ว่าจะมีบุคลิกลักษณะใดก็สามารถติดตามและมีความรู้สึกร่วม (Empathy) กับ Arthur มนุษย์ธรรมดาหนึ่งคน ที่แม้นามสกุลจะบอกว่าเขาด้อยค่า แต่เรื่องราวของเขามีความหมายอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งนี้ ในความคิดผม Less อาจเป็นหนังสือรางวัลพูลิตเซอร์ที่อ่านง่ายและ Feel good ที่สุดแล้วก็ว่าได้ เป็นบทพิสูจน์ว่าการเขียนที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องมีพล็อตที่ซับซ้อนเสมอไป หนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ เล่มนี้ให้มุมมองที่กว้างต่อหลายรูปแบบชีวิตในสังคมได้
บางครั้งความรักและชีวิตคนเรานั้นไม่ได้ต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อลังการจึงจะมีความหมาย แต่ชีวิตเล็กๆ ความรักธรรมดาๆ ของคนทุกคน ไม่ว่าจะมีเพศสภาพใด ล้วนมีความหมายและความงดงามในตัวมันเองเสมอ
3
Everything Is F*cked: A Book about Hope
ผู้เขียน Mark Manson
สำนักพิมพ์ Harper
แนะนำโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ
นักแปล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ปี 2549
ในแต่ละปี เรามองไปข้างหน้าด้วยความหวังว่าปีที่กำลังมาถึงจะดีกว่าปีที่กำลังผ่านพ้นไป เราอวยพรให้กันว่า สุขสันต์วันปีใหม่ และปรารถนาว่าจะเป็นจริงเช่นนั้น
ปี 2563 ประวัติศาสตร์โลกจะต้องบันทึกไว้ว่าเป็นปีที่มนุษยชาติเผชิญหน้ากับมหันตภัยไวรัสที่ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างและรุนแรง ชนิดที่ไม่เกินจริงหากจะกล่าวว่า โลกเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
ทว่า โลกยังคงหมุน เรายังคงสูดลมหายใจและใช้ชีวิตต่อไป มีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ บางคำถามมีอยู่เดิม แค่ก่อนหน้านี้เราไม่สนใจ บางคำถามเกิดขึ้นใหม่สืบเนื่องจากสภาพสังคมและพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป ในโอกาสที่กำลังจะก้าวสู่ปีใหม่ด้วยคำถามมากมาย การค้นหาคำตอบก็น่าจะเป็น ของขวัญ ที่เรามอบให้กับตัวเองได้ หนังสือที่เลือกนี้มีคำตอบให้บางคำถาม (แม้ว่าจะเป็นคำตอบที่ไม่ถูกใจนักก็ตาม) และน่าจะจุดประกายให้นำไปต่อยอดมองหาแนวทางที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้อีกหนึ่งปี
เนื้อหาในเล่มที่น่าสนใจ
The Uncomfortable Truth – มนุษย์ช่างด้อยค่าเมื่อเทียบกับจักรวาลอันยิ่งใหญ่ เราเกิดมาเพื่อตายไป ช่างเป็นความจริงอันเจ็บปวด
Paradox of progress – มนุษยชาติมาถึงจุดที่อายุยืนยาว ชีวิตสะดวกสบาย แต่กลับอ้างว้างโดดเดี่ยว เผชิญกับความรู้สึกไร้ความหวัง เห็นได้จากปรากฏการณ์ที่คนรุ่นหนุ่มสาวเกิดภาวะซึมเศร้า แปลกแยกจากสังคม วิกฤตศรัทธา ไม่อาจวางใจใครหรืออะไรได้
Finding purposes – มนุษย์ต้องหาเป้าหมายให้กับชีวิตเพื่อสร้างความหวัง
Think Brain VS Feeling Brain – สมองมนุษย์แยกเป็นสองส่วน ความคิด กับ ความรู้สึก ความคิดกำกับการกระทำแต่ความรู้สึกทำให้เราลงมือกระทำได้ ปัญหาคือเราให้ความสำคัญกับอารมณ์เกินไป สองส่วนจำเป็นต้องประสานกันเพื่อนำพาเราไปบนถนนชีวิตและมีความหวัง
Pain – เราจะเติบโตต่อเมื่อเผชิญกับความเจ็บปวด ไม่มีทางที่จะรอดพ้นความเจ็บปวดได้ เราจึงมักพบว่าทุกอย่างในชีวิตไม่เป็นอย่างใจปรารถนา (Everything is fucked) ทางรอดเดียวคือหยุดวิ่งหนีจากความเจ็บปวดและยอมรับว่าคือส่วนหนึ่งของชีวิต
Internet – ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้นเพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกไม่ใช่ข้อมูล แต่เป็นความรู้สึก
True form of freedom is through self-limitation. การเลือกสละบางสิ่งในชีวิตเท่านั้น เราจึงจะเป็นอิสระ
การปกครองประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีพลเมืองที่มีวุฒิภาวะ
Pursuit of Happiness is a value of the modern world. โลกสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับการไขว่คว้าหาความสุข หากแต่ความสุขไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเส้นระนาบ เราสุขเพียงชั่วขณะเท่านั้น
▪︎
photo credit: อนุชา ศรีกรการ
4
ANOTHER LIFE
ผู้เขียน Theodor Kallifatides
ผู้แปล Marlaine Delargy (จากฉบับภาษาสวีดิช)
สำนักพิมพ์ Other Press
แนะนำโดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ สื่อมวลชน ผู้ดำเนินรายการ
ไม่ว่าจะมองในแง่ไหน ประเทศไทยช่วงนี้ไม่ใช่ประเทศที่ดี ชีวิตในประเทศแบบนี้ดำรงอยู่ท่ามกลางความเสื่อมถอยทางจิตวิญญาณจนลืมว่าเราเคยจินตนาการถึงสังคมที่ดีกว่านี้ได้ ไม่ใช่สังคมที่รัฐขนคอนเทนเนอร์นับร้อยปิดเมืองเพื่อสกัดการเดินขบวน
รุสโซ¹ เคยบอกว่ามนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกที่ล้วนถูกพันธนาการ การหนีไปจากสังคมจึงเป็นวิธีที่คนคิดว่าง่ายที่สุดในการปลดเปลื้องตัวเองจากทุกข์ แต่ที่จริง การแบ่งปันคือหนทางที่ทำให้คนมีความสุขยิ่งกว่า ไม่ใช่ออกจากโลกจนมีจุดจบแบบตัวละครใน Into the Wild ²
Theodor Kallifatides เป็นนักเขียนซึ่งเล่นประเด็นนี้ได้แหลมคมใน Another Life โดยเริ่มจากปัญหาง่ายๆ ว่าเขาเขียนอะไรไม่ได้อีก ทางออกของคาลลีฟาธีเดส ผู้เกิดที่ประเทศกรีซ แต่เรียน เขียน และสอนหนังสือที่สวีเดน ได้กลับบ้านไปหารากหรืออีกนัยคือออกจากสวีเดน สถานที่ที่สร้างตัวตนเขาขึ้นมา
แน่นอนว่าประเด็น Nostos หรือ กลับบ้าน ถูกใครต่อใครใช้เล่าเรื่อง Nostalgia (การรำลึกความหลัง) เยอะจนแทบไม่เหลืออะไรน่าสนใจ แต่กรีซคือกำเนิดอารยธรรมตะวันตกซึ่งปัจจุบันโรยราราวโลกที่สามของยุโรป การกลับบ้านในกรณีนี้จึงไม่ใช่การกลับไปหารักเก่าที่บ้านเกิดหรือความหลังอันสวยงาม
Another Life เล่าเรื่องซึ่งรวมศูนย์ไว้ที่ความคิดคำนึงของผู้เขียนต่อสองสังคมที่อยู่รอบตัวคาลลีฟาธีเดส ในตอนหนึ่งแสดงความปีติที่เขาตาสว่าง หลังพบคำสองคำในภาษา Gotland³ คำแรกคือ Ostor หรือ Unbig อีกคำคือ Fingå หรือ to go for a fine walk ซึ่งทำให้เขาบรรลุว่าความสุขคืออะไร
หนังสือเล่มนี้ไม่สนุก เขียนโดยผู้เขียนที่ตั้งใจพร่ำบ่นเหมือนขึ้นรถไฟชั้นสามแล้วโดนชวนคุยโดยลุงที่ไม่รู้จักกัน เสน่ห์ของการคุยแบบนี้คือการฟังโดยไม่ต้องสนใจว่าเขาคือใคร เล่าเรื่องได้รู้เรื่องขนาดไหน แต่คือการวาบของความคิดจากบทสนทนาที่เป็นเศษเสี้ยวจนคล้ายไม่มีอะไรเลย
Another Life เตือนสติว่าการฟังสำคัญเท่าการพูด และการทำตัวให้เล็กลงสำคัญต่อการตาสว่างของคน
▪︎
¹ ฌอง-ฌาค รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau)
² Into the Wild เขียนโดย Jon Krakauer นวนิยายอิงชีวิตจริงของ Christopher McCandless ชายผู้ละทิ้งทุกสิ่งในชีวิตแล้วออกเดินทางสู่ผืนป่าด้วยหวังว่าจะพบกับความสุขทางจิตวิญญาณ
³ Gotland เกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสวีเดนและทะเลบอลติก
5
เอ่ยชื่อคือคำรัก
ผู้เขียน Andre Aciman
ผู้แปล อารีรัตน์ ขีโรท
สำนักพิมพ์ Classact Publishing
(ต้นฉบับ: Call Me by Your Name สำนักพิมพ์ Janklow & Nesbit Associates)
แนะนำโดย ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์
อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียนบท นักแสดง
กอล์ฟอ่านหนังสือเล่มนี้หลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์ หลังจากที่ประทับใจกับภาพยนตร์ Call Me by Your Name ก็รีบหาหนังสือ เอ่ยชื่อคือคำรัก มาอ่านทันที พบว่าชอบมากเช่นเดียวกันกับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ แต่มีเสน่ห์กันคนละแบบ
แน่นอนว่าฉบับภาพยนตร์ ผู้กำกับเลือกภาพ เลือกเสียง เลือกดนตรีประกอบ เลือกวิธีเล่าเรื่อง เลือกการลำดับภาพ มาถ่ายทอดให้เราดู ให้เรารับรู้ความรู้สึกของตัวละคร เราก็มีความรู้สึกร่วมในแบบที่ผู้กำกับเลือกสรรให้เราแล้ว ซึ่งแตกต่างจากเวอร์ชั่นหนังสือ เราอ่านจากตัวอักษรที่ผู้เขียนบรรยายให้เราอ่าน แต่ภาพที่ปรากฏในหัว เสียงที่เราได้ยิน กลิ่นที่เราสัมผัส ล้วนมาจากตัวตนเรา ประสบการณ์ชีวิตเรา จินตนาการของเรา และน้ำตาของเราที่ไหลจากเรื่องเล่าเดียวกัน แต่หากการนำเสนอต่างกัน มันก็คนละรสชาติกัน
อยากแนะนำให้อ่านกันนะคะ
ความรักครั้งแรกของแต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน การอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน แต่ว่าต่างคนก็มีประสบการณ์ร่วมที่แตกต่างกัน
นี่แหละค่ะ เสน่ห์ของงานศิลปะ
6
ปีศาจ
ผู้เขียน เสนีย์ เสาวพงศ์
สำนักพิมพ์ มติชน
แนะนำโดย ประจักษ์ ก้องกีรติ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นักเขียน
นิยายเรื่อง ปีศาจ คือหนังสือของห้วงยามปัจจุบัน แม้ว่าจะตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี rพ.ศ. 2496 - 2497 แต่หนังสือเล่มนี้ไม่เคยล้าสมัยไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลย
ที่บอกว่า ปีศาจ คือหนังสือของยุคสมัย เพราะมันถึงพูดถึงการปะทะกันระหว่าง ‘โลกเก่า’ กับ ‘โลกใหม่’ เมืองกับชนบท คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ และสามัญชนกับชนชั้นสูง ตัวละครอย่างสายสีมา รัชนี กิ่งเทียน และท่านเจ้าคุณ คือตัวละครที่โลดแล่นอยู่บนโลกกายภาพใบเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีจักรวาลคู่ขนานที่ไม่อาจบรรจบกันได้ เฉกเช่นเดียวกับกระแสธารที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ยุคสมัยปัจจุบันคือยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านอย่างขนานใหญ่ทั้งในแง่ระเบียบทางการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และคุณค่าทางวัฒนธรรม ยุคสมัยที่ดูผิวเผินเสมือนสับสนอลหม่าน ไร้ระเบียบ แต่ลึกๆ แล้วคือยุคสมัยของความน่าตื่นเต้น พิศวง และโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับการสร้างโลกใบใหม่ที่ดีกว่าเดิม ความขัดแย้งในทางการเมืองที่เผยตัวออกมาผ่านช่องว่างทางความคิดและการแสดงออกระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แท้จริงแล้วเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่ฐานของมันคือความขัดแย้งในเชิงคุณค่าและจิตสำนึกที่ผู้คนจดจำอดีตและฝันใฝ่ถึงอนาคตแตกต่างกัน
ปีศาจ คือหนังสือที่คู่ควรแก่การอ่าน เพื่อขบคิดและเข้าใจสังคมไทยที่เราอาศัยอยู่ มันสะท้อนและเผยความจริงของยุคสมัยได้แหลมคมและหมดจดยิ่งกว่าหนังสือวิชาการใดๆ สุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้คือหนังสือที่มาก่อนกาล เพราะมันพูดถึงจิตวิญญาณและพลังของความเปลี่ยนแปลงของคนหนุ่มสาว ในยุคที่ขบวนการของคนหนุ่มสาวยังไม่ได้ปรากฏตัวเป็นรูปเป็นร่าง
นอกจากนั้น มันยังเป็นหนังสือที่ศรัทธาในคุณค่าของสามัญชน คุณค่าของความเสมอภาค และคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
7
a day 241
ฉบับรวมเรื่องสั้น ‘สถาน ณ กาลไม่ปกติ’
ผู้เขียน รวมนักเขียน
สำนักพิมพ์ a book Publishing
แนะนำโดย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข
นักเขียน ศิลปินรางวัลศิลปาธร ศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขาทัศนศิลป์ อดีตอาจารย์ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต้นปีถัด โควิดแผลงชัดขึ้น ความพิศวงต่อแวดล้อมในฐานะผู้ยัง(คงดำรง)แปลบประกายแปร่งๆ และโดยเฉพาะในฐานะคนทำงานศิลปะที่นิทรรศการเดี่ยวเพิ่งเปิดไปสองแห่งต้องปิดตัวลงก่อนจบ พิธีเปิดงานกลุ่มในที่เกิดการระบาดรอบสองภัณฑารักษ์ใช้วิธีอธิบายงานออนไลน์ชิ้นละ ๑ นาที งานแสดงอีกแห่งกำลังจะถูกเลื่อนและแทนที่ด้วยภาพกับคำถกกันในซูม ความตื่นเร้าแห้งๆ ต่อสถิติคนป่วยและตายรายวัน ทำให้ใครคนหนึ่งอยากก้าวพ้นคำบ่นว่า คร่ำครวญ หรือรื่นรมย์ จนเสียสติ
ขณะฉงน หนังสือเล่มหนึ่งรวมทัศนะร่วมสมัย มุมมองต่อและใน ‘สถาน ณ กาลไม่ปกติ’ ในรูปของรวมเรื่องสั้นที่เริ่มด้วย คอนเสพท์ มากกว่ารวมเพศร่วมวัย หรืออะไรก็ได้นำแง่มุมนานามาสู่ ขนมปังขึ้นรา แมว นก หลอดยาสีฟัน เหล้ากับสนทนาทึม-กรีดชื้นสายฝน ตัวละครเพศผู้คู่ขนานแดนตะวันออก คู่กรรมกับคิดคำนวณทางรอด ผิดบาปของลูกชายโหลยโท่ย ความหลอนในกล่องสูงทรงเหลี่ยม หญิงสาวผู้เสียตัวกับกลไกเมือง
เปล่า ไม่ใช่สาระ ไม่แห้ง คล้ายเรารับฟังระบาดวิทยาเชิงสถิติแล้วหยิบหน้ากากมาสวม แต่เป็นอาการของการคลี่ เผย เกือบทั้งหมดมีทุนของปม ของอคติ ความเฝื่อนขม มัดร้อยพันผูก ไม่มีใครในเล่มที่ไม่ติดกับดักของ ‘ความเป็นตน’ ดำรงมาก่อนจะลงมือเขียน และไม่มีใครที่ขณะเขียนไม่เผชิญกับ ‘ในตน’
หลายครั้งคนทำงานสร้างสรรค์ (เราอาจใช้คำนี้ได้แต่ควรกระดากสักหน่อย) หิวหา ‘ความไม่ปกติ’ เพื่อกระทุ้งเปิดความสร้างสรรค์ของตัว ความน่าสนใจอยู่ตรงทุนลบต่อระบบ สังคม ชีวิต และเงื่อน วนปนอยู่ในทุนบวกเชิงทักษะของผู้ถ่ายโอนฟุ้งคิด ปลดปล่อยและอัดเอื้อนตัวบทในสูตรผสมแปลกๆ ชวนฉงนในรูปของเรื่องสั้น บรรเทาความจริงย้ำซ้ำหนักเนือยอันนำปฏิกิริยาสามัญต่อส่วนจู่โจมค้างคาที่ยังหมักคาโลกมาสู่เรา
บางที จำรุงคำในท่ามความกระทบสะเทือน คือภูมิคุ้มกันพิเศษ ในนึกคิดในอารมณ์ สะหรือถึงใจหรือไม่ แม้ชั่วครู่คราวแล้วผ่านไป แต่หนังสือเล่มนี้ส่องสะท้อนความเป็นมนุษย์ผู้โอบรับ เข้าร่วมกับสภาพของความเป็น และอาจตายในท่าทีที่ไม่เปล่าดาย
8
ในฝันอันเหลือจะกล่าว
ผู้เขียน เดือนวาด พิมวนา สำนักพิมพ์ อ่าน
แลไปข้างหน้า
ผู้เขียน ศรีบูรพา
จัดพิมพ์โดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาอีสานแห่งประเทศไทย
แนะนำโดย ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์
รองศาสตราจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักเขียน นักวิชาการและนักวิจารณ์วรรณคดี
ในยุคแห่งการตื่นครั้งใหญ่ (the great awakening) ที่เยาวชนไทยหันมาขุดค้นเพื่อศึกษาเรื่องราวในอดีตที่ถูกกลบฝังในสังคมไทย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์นอกตำราที่รัฐไทยพยายามปกปิดหรือบิดเบือน และตำนานที่ถูกกลบเกลื่อนลบเลือนหายไปจากความทรงจำ ผมอยากแนะนำนวนิยายอิงประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยสองเล่มที่ควรอ่าน ได้แก่ ในฝันอันเหลือจะกล่าว (2563) นวนิยายเล่มใหม่ล่าสุดของเดือนวาด พิมวนา และ แลไปข้างหน้า (2498) นวนิยายเล่มสุดท้ายที่เขียนไม่จบของ ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์)
ในฝันอันเหลือจะกล่าว บันทึกเรื่องราวและบรรยากาศทางเมืองในช่วงปลายปี 2556 ถึง 2557 ที่มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและการเลือกตั้งทั่วไปจนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 ผ่านชีวิตครอบครัวของสายนที ที่มีพี่สาวสองคนซึ่งแตกแยกกันทางความคิดการเมืองจนถึงขั้นไม่มองหน้ากัน ส่วนตัวสายนทีเองก็เห็นต่างจากคนส่วนใหญ่ในแวดวงนักเขียนจนกลายเป็นเหมือน “แกะดำ” ความโดดเด่นของนวนิยายเล่มนี้อยู่ที่การนำนัยยะของ “ความฝันอันสูงสุด” ในบริบทของสังคมไทยที่เชื่อมโยงกับนวนิยายเรื่อง ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า มาตีความใหม่ โดยชี้ให้เห็นด้านที่เป็นความวิปลาสขาดสติของสิ่งที่เรียกว่า “ความฝัน” ของดอน กิโฆเต้ ชายแก่สติฟั่นเฟือนผู้หลงคิดว่าตนเองคืออัศวิน
การนำเรื่องราวของ ดอน กิโฆเต้ และ ซานโช่ มาตีความใหม่ ช่วยสร้างคำอธิบายถึงกลุ่มคนที่ออกมาสนับสนุนขบวนการล้มล้างและต่อต้านการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ว่าหาใช่เป็นเพียงเพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นกบใต้กะลาหรือทาสที่ปล่อยไม่ไป หรือเป็นพวกฝักใฝ่ในอำนาจและผลประโยชน์ถ่ายเดียว แต่ที่น่าตกใจและน่ากลัวกว่าก็คือ พวกเขาล้วนกระทำไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้าในความฝันอันสูงสุดของนักฝันผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับซานโช่
หากจะถามต่อว่า ทำไมผู้ได้ชื่อว่ามีสติปัญญาในสังคมไทยจึงกลายเป็นซานโช่ที่หลงเชื่อในความฝันของคนบ้าอย่างหัวปักหัวปำ หนึ่งในคำตอบก็คือเพราะเราอ่านและพูดถึงนวนิยาย แลไปข้างหน้า ของศรีบูรพา กันน้อยเกินไป จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ศรีบูรพาได้รับการยกย่องและเชิดชูอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ผู้อุทิศตนต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยแม้จะต้องแลกกับอิสรภาพของตนเอง แต่น่าประหลาดใจที่นวนิยายเรื่อง แลไปข้างหน้า ของเขากลับไม่ได้รับการพูดถึงเท่าที่ควร แลไปข้างหน้า เป็นหนึ่งในหนังสือจำนวนน้อยนิดมากที่เชิดชูและยกย่องคุณูปการของการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ของคณะราษฎร และถึงแม้ว่าคุณกุหลาบจะไม่เห็นด้วยและวิพากษ์ผู้นำบางคนในคณะราษฎร แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างไม่เสื่อมคลาย ดังที่เขาให้นิทัศน์ตัวละครในนวนิยายเล่มนี้กล่าวเตือนสติเพื่อนรักของเขาว่า
“คนพวกหนึ่ง อาจจะทำให้ประชาธิปไตยของเราล่มจมลง แต่ก็จะต้องมีคนอีกพวกหนึ่งมากู้มันขึ้น และทำให้กลไกของมันเดินคล่องขึ้น และดีขึ้นเป็นแน่ . . . . ไม่มีเสียละที่จะถอยกลับไปข้างหลัง เราหลุดออกมาจากหนองน้ำของพวกจระเข้ และเมื่อต้องเผชิญกับเสือ เราจะกลับถอยเข้าไปในปากจระเข้อีกหรือ . . . . ทางเลือกของราษฎรมีอยู่แต่ทางเดียว คือเราจะต้องฟันฝ่าอันตรายในดงเสือและค้นหาทางออกไปข้างหน้าเท่านั้น ถ้าพวกคนชั้นสูงเขาคิดว่าราษฎรจะกลับเรียกร้องให้พวกเขามาปกครองประเทศอีก ก็นับว่าพวกเขาฝันไปอย่างน่าสงสาร” (แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย)
เสียดายว่าซานโช่แห่งประเทศไทยในปี 2557 ไม่ได้อ่านนวนิยายเล่มนี้ หรือรำลึกถึงคำเตือนของศรีบูรพาดังที่ยกมาข้างต้น ทุกวันนี้เราจึงต้องมาดิ้นรนต่อสู้หาทางออกจากปากจระเข้อย่างเลือดตากระเด็น
ในแง่มุมทางวรรณกรรมศึกษาและวรรณศิลป์ นวนิยายทั้งสองเล่มมีประเด็นว่าด้วยความเหมือนจริงและความสมจริงของวรรณกรรมการเมืองที่ชวนให้ขบคิดและถกเถียงมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความไม่สมจริงของการให้ตัวละครสนทนาเรื่องการเมืองอย่างจริงจัง และยืดยาวเป็นหน้าๆ ดังที่พบเห็นในนวนิยายทั้งสองเล่มนี้ (หนึ่งในข้ออ้างที่ทำให้ไม่ค่อยมีการพูดถึง แลไปข้างหน้า ก็คือการอ้างเรื่องความไม่สมจริงดังกล่าว) แต่ทุกวันนี้หากลองเงี่ยหูฟังเสียงของคนรอบตัว บทสนทนาที่ว่ากันว่าไม่สมจริงในนวนิยายทั้งสองเล่มนี้ช่างเหมือนจริงอย่างน่าประหลาดใจ ในยุคสมัยแห่งความตื่นตัวทางการเมืองอันมาจากปรากฏการณ์ตาสว่างครั้งใหญ่ วรรณกรรมการเมืองควรจะเลือกเดินไปในเส้นทางใด จะยังคงสนใจอยู่กับการใช้สัญลักษณ์ซับซ้อนยอกย้อนเพื่อสื่อสารประเด็นอันแหลมคม หรือจะนำเสนอประเด็นเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา ฉะฉาน คมคาย จะแจ้ง ดังที่เราได้ยินได้ฟังจากเวทีชุมนุมของเหล่า “ราษฎร”
นี่เป็นคำถามที่รอคำตอบจากนวนิยายเล่มใหม่ๆ ของนักเขียนไทยร่วมสมัยในยุคแห่งการตื่นครั้งใหญ่นี้